เมื่อคุณต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ลูกหนี้ไม่คืนเงินตามที่ตกลงไว้ อาจทำให้เกิดความเครียดและความไม่แน่นอนว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป บทความนี้จะช่วยแนะนำขั้นตอนที่ควรดำเนินการ พร้อมทั้งข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อช่วยแก้ปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ
1. ตรวจสอบเอกสารและหลักฐานการกู้ยืม
ก่อนที่จะดำเนินการใด ๆ คุณควรเริ่มต้นด้วยการตรวจสอบว่าคุณมี หลักฐานการกู้ยืมเงิน หรือไม่ เช่น
- สัญญากู้ยืมเงิน: เอกสารที่ระบุจำนวนเงิน เงื่อนไขการชำระคืน ดอกเบี้ย และลายเซ็นของทั้งสองฝ่าย
- ข้อความหรือหลักฐานการสนทนา: เช่น ข้อความแชทหรืออีเมลที่ยืนยันการยืมเงิน
- หลักฐานการโอนเงิน: เช่น สลิปโอนเงินหรือบันทึกรายการในบัญชีธนาคาร
ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 650 อันว่ายืมใช้สิ้นเปลืองนั้น คือสัญญาซึ่งผู้ให้ยืมโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินชนิดใช้ไปสิ้นไปนั้นเป็นปริมาณมีกำหนดให้ไปแก่ผู้ยืม และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สิน ประเภท ชนิด และปริมาณเช่นเดียวกันให้แทนทรัพย์สินซึ่งให้ยืมนั้น
วรรคสอง สัญญานี้ย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ยืม
มาตรา 651 ค่าฤชาธรรมเนียมในการทำสัญญาก็ดี ค่าส่งมอบและส่งคืนทรัพย์สินซึ่งยืมก็ดี ย่อมตกแก่ผู้ยืมเป็นผู้เสีย
มาตรา 652 ถ้าในสัญญาไม่มีกำหนดเวลาให้คืนทรัพย์สินซึ่งยืมไป ผู้ให้ยืมจะบอกกล่าวแก่ผู้ยืมให้คืนทรัพย์สินภายในเวลาอันควรซึ่งกำหนดให้ในคำบอกกล่าวนั้นก็ได้
มาตรา 653 การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่
วรรคสอง ในการกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือนั้น ท่านว่าจะนำสืบการใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดงหรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้ว หรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว
มาตรา 654 ท่านห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละสิบห้าต่อปี ถ้าสัญญากำหนดดอกเบี้ยเกินกว่านั้น ก็ให้ลดลงมาเป็นร้อยละสิบห้าต่อปี
2. พูดคุยเจรจากับลูกหนี้
ขั้นตอนแรกในการแก้ปัญหาคือ การพูดคุยเจรจา กับลูกหนี้โดยตรง เพื่อหาข้อตกลงร่วมกัน อาจใช้แนวทางดังนี้:
- นัดหมายพูดคุยในที่ที่เหมาะสม: เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง
- ยื่นข้อเสนอที่ยืดหยุ่นได้: เช่น การแบ่งชำระเงินเป็นงวด
- ขอให้ลูกหนี้ลงบันทึกการชำระเงิน: เพื่อเป็นหลักฐานเพิ่มเติม
ข้อควรระวัง: อย่าใช้การข่มขู่หรือการกระทำที่ผิดกฎหมาย เช่น การเรียกเงินโดยใช้ความรุนแรง ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาทางกฎหมายเพิ่มเติม
3. ส่งหนังสือทวงถาม (Notice Letter)
หากการเจรจาไม่เป็นผล คุณสามารถส่ง หนังสือทวงถาม ไปยังลูกหนี้ โดยหนังสือดังกล่าวควรประกอบด้วย:
- ชื่อของผู้กู้และผู้ให้กู้
- รายละเอียดของเงินที่กู้ยืม
- กำหนดเวลาที่ลูกหนี้ต้องชำระเงินคืน
- การแจ้งผลที่จะตามมาหากไม่ชำระหนี้
การส่งหนังสือทวงถามควรส่งโดย จดหมายลงทะเบียนตอบรับ เพื่อมีหลักฐานยืนยันว่าลูกหนี้ได้รับหนังสือดังกล่าว
4. ใช้กระบวนการทางกฎหมาย
หากลูกหนี้ยังเพิกเฉยต่อการทวงถาม คุณสามารถดำเนินการทางกฎหมายได้ โดยมีขั้นตอนดังนี้:
4.1 ฟ้องร้องในศาล
- หากจำนวนเงินที่กู้ยืมไม่เกิน 300,000 บาท ให้ยื่นฟ้องที่ ศาลแขวง
- หากจำนวนเงินเกินกว่า 300,000 บาท ให้ยื่นฟ้องที่ ศาลจังหวัด
เอกสารที่ต้องใช้:
- สำเนาสัญญากู้ยืมเงิน
- หลักฐานการโอนเงิน
- สำเนาหนังสือทวงถาม
4.2 ดำเนินการบังคับคดี
เมื่อศาลมีคำพิพากษาให้ลูกหนี้ชำระหนี้และลูกหนี้ยังไม่ปฏิบัติตาม คุณสามารถขอ บังคับคดี ได้ โดยสำนักงานบังคับคดีจะช่วยยึดทรัพย์สินของลูกหนี้เพื่อขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้
5. ทางเลือกอื่น: ใช้บริการทนายความหรือบริษัทติดตามหนี้
หากคุณไม่มีเวลาหรือไม่สะดวกในการดำเนินการเอง คุณสามารถจ้าง ทนายความ หรือ บริษัทติดตามหนี้ ที่มีความเชี่ยวชาญด้านนี้ช่วยดำเนินการได้
ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง:
- บริษัทติดตามหนี้และผู้ทวงถามต้องปฏิบัติตาม พระราชบัญญัติการติดตามทวงถามหนี้ พ.ศ. 2558 ซึ่งห้ามใช้วิธีการข่มขู่หรือประจานลูกหนี้
6. ป้องกันปัญหาในอนาคต
การป้องกันดีกว่าการแก้ไข ดังนั้นควรปฏิบัติตามแนวทางเหล่านี้เพื่อป้องกันปัญหาลูกหนี้ไม่คืนเงินในอนาคต:
- ทำ สัญญากู้ยืมเงิน อย่างชัดเจน
- ขอ หลักทรัพย์ค้ำประกัน เช่น รถยนต์หรือโฉนดที่ดิน
- ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของลูกหนี้ก่อนให้ยืม
สรุป
เมื่อลูกหนี้ไม่คืนเงิน คุณควรดำเนินการอย่างเป็นขั้นตอน เริ่มจากการเจรจา ส่งหนังสือทวงถาม และดำเนินการทางกฎหมายหากจำเป็น อย่าลืมเตรียมเอกสารและหลักฐานให้ครบถ้วนเพื่อสนับสนุนการดำเนินการในทุกขั้นตอน การป้องกันและการมีเอกสารสัญญาที่ชัดเจนจะช่วยลดความเสี่ยงและทำให้คุณมั่นใจได้ว่าปัญหานี้จะไม่เกิดขึ้นอีกในอนาคต
#ทนายเชียงใหม่ #ทนายความเชียงใหม่